ข่าวการเงิน - การลงทุน

30 June 2008

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 30-06-08 ตอน 2

นลท.ทิ้งหุ้นรับวันหยุดครึ่งปีแบงก์ ผวาเงินเฟ้อกดดันบรรยากาศ

โบรกฯ คาดตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ ยังซบเซา โดยพรุ่งนี้ สถาบันการเงินไทยหยุดทำการ 1 วัน แนะจับตาเงินเฟ้อแผลงฤทธิ์ กดบรยากาศการลงทุน ชี้ความสามารถการบริโภคประชาชนลดลงจากต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น ส่อเค้าปรับลดประมาณการกำไร บจ. ลดความน่าลงทุนของตลาดหุ้นดิ่ง แนะนำชะลอการลงทุน วันนี้ (30 มิ.ย.) นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ เป็นวันหยุดทำการครึ่งปีของสถาบันการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่ายังคงเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยปริมาณการซื้อขายในวันนี้ค่อนข้างบางเบา ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงท้ายตลาดทั้งนี้ แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันพุธ (2 ก.ค 51) ดัชนีหุ้นไทย มีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆมาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามแนะให้นักลงทุนติดตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบด้วย เนื่องจากอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยขาย เนื่องจากดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญที่ 770 จุด โดยมีแนวโน้มเป็นขาลง ประเมินแนวรับไว้ที่ 760-753 จุด ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 780-790 จุด นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในในวันพุธนี้ (2 ก.ค.51) คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เพราะความกังวลปัญหาเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันบรรยากาสการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ผลักดันให้ต้นทุนการบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่าย และเชื่อว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ และปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนเข้าสู่ภาวะชะงักงัน กลยุทธ์การลงทุน แนะนำชะลอการลงทุน ประเมินแนวรับ 760 จุด แนวต้าน 778 จุด

----------------------------------------------
โอเปคหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย

นายอับดัลลา ซาเล็ม เอล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ระบุว่า ไม่วิตกว่าอาจจะเกิดภาวะเงินฝืดอย่างกะทันหัน หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในปัจจุบัน ตามแรงซื้อจากสถาบันการเงิน กองทุนบำนาญ กองทุนป้องกันความเสี่ยง และนักลงทุนรายย่อย
เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงถูกกล่าวหาว่าเป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันดีดตัวเหนือระดับ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. และรักษาท่าทีต่ออัตราเงินเฟ้อ
นายเอล-บาดรี กล่าวว่า นักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน หากเฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลง
โอเปคไม่ได้ยินดีกับราคาน้ำมันที่ระดับ 137 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน หรือ 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในอดีต ราคาที่ระดับ 80 ดอลลาร์ 90 ดอลลาร์ หรือ 110 ดอลลาร์ ควรสะท้อนตามปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทาน
เลขาธิการโอเปคกล่าวด้วยว่า เขาได้พบกับพันธมิตรหลายรายที่มีความเห็นตรงกันว่า เงินทุนจากการเก็งกำไรเป็นต้นเหตุหลักที่ผลักดันราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในขณะนี้

---------------------------------------------

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 30-06-08

นักลงทุนต่างชาติ...ยังคงบทบาทสำคัญในตลาดหุ้นไทย :ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นับจากต้นปี 2551 เป็นต้นมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ซึ่งนับจากวันเปิดตลาดจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน ตลาดหุ้นไทยลดลงไปแล้ว 94.35 จุดหรือร้อยละ 11.0 เมื่อเทียบจากระดับปิด ณ.สิ้นปีก่อน ขณะที่ในวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลงค่อนข้างแรงนั้น มาจากการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 97,000 ล้านบาท และทั้งปี 2550 นั้นนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 56,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนฐานะจากซื้อสุทธิในปีก่อนมาเป็นการขายสุทธิในปีนี้แทน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง นอกจากนี้ดัชนี SET ยังมีการปรับตัวที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) หลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคเอกชน ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทรัพย์สินที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนให้สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนแต่มีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน เห็นได้จากเมื่อเริ่มเปิดขายในปี 2551 จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน ดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ หลายแห่งทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก เช่น ดัชนีหุ้นเวียดนามร่วงลงร้อยละ 59.4 และดัชนีหุ้นจีนปรับลดลงร้อยละ 46.7 เป็นต้น ส่วนการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น ดัชนีร่วงลงไปแล้วถึง 94.35 จุดหรือร้อยละ 11.0 ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยยังปรับลดลงไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ยกเว้นเพียงดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันและดัชนี NIKKEI สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้
ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับปัจจัยบวก จากการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูก(ค่า P/E ต่ำ) กว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ในขณะที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน โดยค่า P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ.สิ้นเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ประมาณ 11.36 ขณะที่ Dividend Yield ร้อยละ 3.50 อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าว อาจมีน้ำหนักลดลง เพราะหากเทียบค่า P/E ณ.สิ้นเดือน พ.ค. กับต้นปี 2550 จะพบว่าค่า P/E ของดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับประเทศเกาหลี ขณะที่ตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคลดลง นอกจากนี้หากเทียบกับตั้งแต่ต้นปี 2551 พบว่าค่า P/E ของตลาดหุ้นอื่นๆ เช่น ดัชนีตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็ลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดหุ้นเหล่านี้เริ่มมีความดึงดูดมากขึ้น นอกจากนี้ แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติอาจจะถูกจำกัดด้วยความวิตกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย
สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทั้งการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีแนวโน้มจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนชาวต่างชาติได้
ภาวะเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยกำลังปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปี หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม เร่งตัวขึ้นเกินคาดสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีที่ร้อยละ 7.6 จากร้อยละ 6.2 ในเดือนเมษายน โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังกล่าวว่า มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อของไทยในระยะถัดไปจะขยายตัวเป็นเลขสองหลักเนื่องจากการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า
โดยสรุป ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ที่ผ่านมานั้น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมากถึงร้อยละ 11.0 เมื่อเทียบจากระดับปิด ณ.สิ้นปีก่อน ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีปรับลดลงค่อนข้างแรงนั้น มาจากการขายสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท เนื่องจากความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ และดัชนีหุ้นไทยมีการปรับตัวสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับลดลงจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะStagflation ในขณะที่ค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทยกับมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติยังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีก่อน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายก็มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง แต่มูลค่าการลงทุนยังคงขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักของนักลงทุนต่างชาติต่อปัจจัยแวดล้อมต่างๆ โดยแม้ตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยบวกจากการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีราคาถูก (ค่า P/E ต่ำ) ในขณะที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ราคาหุ้นในหลายตลาดในภูมิภาคปรับลดลงมากกว่า ประกอบกับแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติอาจจะถูกจำกัดด้วยความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น

------------------------------------------------------
ชั่วโมงนี้ หากไม่พูดถึงอัตราเงินเฟ้อคงจะเชยแย่เลยครับ ลองสรุปคราวๆให้นะครับ
1. หากเศรษฐกิจร้อนแรง มีความต้องการสินค้า มากกว่า ความสามารถในการผลิต
แก้ไขโดย ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความต้องการสินค้าลง ให้นำเงินไปเก็บให้มากขึ้น ซึ่งส่วนนี้จะมีผลคือเศรษฐกิจจะชะรอตัวลง GDP อาจจะไม่ได้ตามเป้าหมายเดิม
2. หากเกิดจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงมากขึ้น อาจด้วยราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาเหล็หสูงขึ้น
แก้ไขโดย ทำการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนนำเงินกู้ไปลงทุนในส่วนของต้นทุนเพิ่ม ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการสนับสนุนนโยบายการคลัง ซึ่งจะทำให้ภาคเศรษฐกิจขยายตัว และตัวเลข GDP ขึ้นสูงตาม

ทั้งสองวิธีมีทั้งข้อดี และข้อเสียครับหากนำไปใช้ผิดที่ผิดเวลา ซึ่งหากวิเคราะห์กันอย่างง่ายๆ ภาพที่ชัดเจนที่สุดคือ ราคาสินค้าขึ้นสูงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเรื่อยๆและยังคงมีทีท่าว่าจะสูงต่อไปอีก ดังนั้นหากนำวิธีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาใช้เพื่อ เป็นการประกาศชัดเจนถึงภาวะปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าปรกตินั้นหากนำมาใช้แล้วไม่ได้ผล จะเกิดภาวะการหดตัวของเศรษฐกิจระยะยาวได้

คงต้องจับตากันต่อไปโดยรอฟังผลการประชุมของทาง กนง. ในวันที่ 16/07/2551 ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ขอบอกในที่นี้ไว้ก่อนว่า ในโซนเอเชีย ประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดครับ อืมมมมม...... น่าคิดนะครับ

27 June 2008

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 27-06-08

ขึ้นดอกเบี้ย : ยาแก้ (ไข้) เงินเฟ้อ?

“คุณหมอ (เลี๊ยบ) ครับ ผมต้องการยาแก้ไข้ครับ” คุณหมอคงจะถามต่อว่า “อาการเป็นอย่างไร” ผมก็คงจะเล่าต่อว่า “มีอาการซึมๆ (ทางเศรษฐกิจ) มึนงงกับสิ่งรอบข้าง (การเมืองไม่นิ่ง) หน้ามืด (น้ำมันแพง) และอาการท้องเฟ้อ(เงินเฟ้อและของแพง) เกิดขึ้น”
คุณหมอคงจะตอบว่า “แก้ยากเพราะให้ยาตัวหนึ่ง (ขึ้นดอกเบี้ย) อาจมีผลข้างเคียง แต่คงต้องให้ยาแก้ไขปัญหาที่หนักที่สุดก่อน แล้วให้ยาชุด (ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังควบคู่กัน) แก้ไข้ที่คุณเป็นทุกอาการก็แล้วกัน”
เรื่องที่สภากาแฟไทยโดยเฉพาะแวดวงเศรษฐกิจและธุรกิจพูดกันอย่างอื้ออึงในสัปดาห์นี้ นอกจากข่าวลือเกี่ยวกับการปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องการปรับหรือไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 1 วัน (อาร์พี 1 วัน) ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อดูแลปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้
ทั้งนี้หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเดือนพฤษภาคม 2551 โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 7.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยิ่งทำให้หลายฝ่ายเริ่มมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อในระดับ 8-9% มีโอกาสได้เห็นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ยิ่งถ้าราคาน้ำมันปรับตัวสูงถึงระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นระดับเวลายาวนาน ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงเกินกว่า 10% ได้
ซึ่งเรื่องนี้แม้กระทั่งผู้ว่าการ ธปท. ก็ออกมายอมรับว่า มีโอกาสที่จะได้เห็นอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลักได้ในบางเดือน ทั้งนี้ขึ้นกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นสำคัญเพราะราคาน้ำมันเป็น ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อและการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันก็ทำได้ยากในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ธปท. ก็แสดงความมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยทั้งปีจะปรับขึ้นไม่ถึง 2 หลักหรือไม่เกิน 10% แน่นอน เพราะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ในระดับเพียง 5.8% ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อทั้งปีสูงถึง 2 หลักแสดงว่าอีก 7 เดือนที่เหลือ อัตราเงินเฟ้อในแต่ละเดือนจะปรับตัวสูงมาก
ผมนั่งคำนวณคร่าวๆ พบว่า อัตราเงินเฟ้อใน 7 เดือนที่เหลือต้องอยู่ในระดับ 13% เป็นอย่างน้อยถึงทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยทั้งปีจะเกิน 10% ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นแบบนี้ยากมากๆ ครับ แต่อาจเป็นไปได้ถ้าระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 170-180 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายนักและคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่ม G8 ที่เรียกร้องให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเข้ามาแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงและสนับสนุนให้สหรัฐฯ ผลักดันนโยบายให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น เพื่อลดแรงกัดดันที่จะทำให้ราคาน้มันแพงขึ้น อีกทั้งกลุ่ม OPEC โดยเฉพาะประเทศซาอุดิอารเบียได้เริ่มเข้ามาตอบสนองการเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาดโลก แม้ว่าในเบื้องต้นการเพิ่มน้ำมันเพียง 2 แสนบาร์เรลต่อวันจะดูน้อยเกินไป แต่ก็เป็นท่าทีที่สำคัญที่จะชะลอการปรับสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีนี้ (หรืออาจจะเร้วกว่านั้น) ที่กลุ่ม OPEC จะมีการประชุมพิจารณาการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลก
ไม่ว่าจะราคาน้ำมันจะปรับตัวอย่างไรก็ตามในอนาคต พิษสงของการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อของทุกประเทศปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้เกิดการประท้วงของประชาชนในหลายประเทศที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงและค่าครองชีพสูง ทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียได้ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้นเพื่อสกัดกั้นปัญหาเงินเฟ้อไม่ให้ทวีความรุนแรงขึ้น
แม้กระทั่ง ธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือ Fed ก็แสดงท่าทีว่าอาจหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แล้วหันมาใช้อัตราดอกเบี้ยในการป้องกันปัญหาเงินเฟ้อหรือดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแทน จนทำให้มีการคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับขึ้น Fed fund rate จาก 2.0% เป็น 2.25% และ 2.5% ในเดือนสิงหาคมและตุลาคม ตามลำดับ จนทำให้ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ต่างออกมาแสดงความเห็นต่อสื่อมวลชนต่างประเทศเป็นทิวแถวเพื่อลดกระแสความคาดหมายที่คาดกันว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกันอย่างมากเพื่อยับยั้งปัญหาอัตราเงินเฟ้อซึ่งกำลังทวีความรุนแรงขึ้น
เช่น ข่าวที่ว่า “พวกเขา (พวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของ Fed ) ไม่ได้โต้แย้งในเรื่องที่ว่า ความเคลื่อนไหวต่อไปในอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯนั้นน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นการขยับขึ้น แต่พวกเขารู้สึกว่าตลาดอาจจะไปให้ราคากับการเข้มงวดมากขึ้นดังกล่าวนี้ เอาไว้มากเกินไปแล้วและรวดเร็วเกินไปด้วย” ในรายงานข่าวของไฟแนนเชียลไทมส์ หรือ สำนักข่าวอิตาเลียนที่รายงานคำพูดของ เจ้าหน้าที่บริหารของคนหนึ่งของ ECBที่กล่าวว่า ธนาคารกลางยุโรปขึ้นดอกเบี้ยไปสัก 0.25% ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อของแถบยูโรโซน ถอยกลับลงไปต่ำกว่าระดับ 2% ในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า
ข่าวคราวที่เกิดขึ้นมีความหมายสองนัย ประการแรก คือ อัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างแน่นอนเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และประการที่สอง ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ไม่อยากปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมากเพราะกลัวว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเกิดไปจนยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงไปอีกเพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลง อีกทั้งเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในขณะที่ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพงอยู่แล้ว
ทางสองแพร่งในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของไทยนั้นมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทางฝั่งผู้สนับสนุนให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงธนาคารและภาควิชาการ โดยให้เหตุผลว่าการที่ธปท.จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นควรดำเนินการเพื่อส่งสัญญานแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และเห็นว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หรือฉุดอำนาจซื้อของประชาชนลง เนื่องจากขณะนี้กระทรวงการคลังได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเพียงพอต่อการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปตามเป้าที่วางไว้ได้
ขณะที่ฝั่งผู้คัดค้านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่วนใหญ่มาจากซีกกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า ปัญหาเงินเฟ้อน่าห่วงแต่คงทำอะไรมากไม่ได้เพราะราคาน้ำมันยังพุ่งต่อเนื่อง ถ้าเงินเฟ้อเกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจร้อนแรงจนความต้องการมากกว่าความสามารถในการผลิต กรณีอย่างนี้การขึ้นดอกเบี้ยจึงเป็นเครื่องมือในการดึงความต้องการลงเพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเกิดจากปัญหาในการผลิตที่ต้นทุนสูงขึ้น ธปท. ควรลดดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนมาตรการทางการคลังเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตในระดับที่ไม่มีปัญหา เพราะ ธปท. เลือกใช้นโยบายดอกเบี้ยตึงตัวด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเท่ากับไปซ้ำเติมภาคเอกชนและระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่ ผู้ว่าการ ธปท.ซึ่งเป็นผู้ดูแลนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยของประเทศแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจบ้างแต่ไม่มากนัก แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาค ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ซึ่งหากปรับขึ้นอาจกระทบต่อต้นทุนการเงินบ้าง แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อยและถือว่ามีฐานที่ต่ำอยู่
อย่างไรก็ตาม การส่งสัญญานเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม กนง. ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ แต่แสดงความพร้อมว่าหากพบความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กนง. จะพร้อมที่จะใช้นโยบายดอกเบี้ยเข้าดูแลให้เกิดความสมดุลและเหมาะสม ภายใต้ข้อมูลที่แท้จริงทางเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้มีผลกระทบที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาในอนาคต
คงต้องตามอย่างใกล้ชิดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจที่ ธปท.จะประกาศสินเดือนนี้ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่กระทรวงพาณิชย์จะประกาศในต้นเดือนกรกฎาคม และแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงเดือนหน้า เพื่อมาดูว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะปรับขึ้นในการประชุมของกนง. ในเดือนหน้าหรือไม่

17 June 2008

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 17-06-08

หุ้นปรับฐานแรง แนะซื้อที่ 780 เน้นหุ้นต้านเงินเฟ้อ

นักวิเคราะห์ ผู้บริหารกองทุนรวม ประเมินหุ้นไทยเสี่ยงสูงจากสภาพคล่องหดหายเพราะแรงขายต่างชาติที่วิตกปัญหาการเมือง เงินเฟ้อพุ่ง และตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
คาด..ดัชนีหุ้นไทยกำลังเข้าสู่เขตแดน "อันตราย" และเป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ แนะปรับกลยุทธ์ เข้าซื้อเมื่อดัชนี "ต่ำกว่า" 780 เน้นลงทุนในหุ้นที่ผ่านวิกฤติเงินเฟ้อมาหลายรอบ และผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) "สูง"
--
ภาพการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยที่กำลัง "ไหลลง" ในช่วงนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับช่วงปี 2549 เป็นอย่างมาก โดยตลาดหุ้นไทยถูกปกคลุมด้วยปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
ปัญหาการเมืองที่กลุ่มพันธมิตรประท้วงขับไล่รัฐบาล อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งจากเดือนมกราคมที่ 4.3% เป็น 7.6%ในเดือนพฤษภาคม 2551 ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจากที่เคยเกินดุล 920 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม เป็น "ขาดดุล" 1.7 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2551
ในมุมมองของผู้บริหารกองทุนรวม "ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บลจ.อยุธยา ประเมินแนวโน้มหุ้นไทยว่า ปัจจัยลบทางด้านการเมือง อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้มุมมองการลงทุนต่อตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ตั้งแต่ต้นปีบริษัทจึงได้ปรับพอร์ตลงทุนในกองทุนยืดหยุ่นและกองทุนส่วนบุคคล และหันมาถือเงินสดมากขึ้น
โดยในช่วงที่ผ่านมา กองทุนได้ขายหุ้นในกลุ่มแบงก์และพลังงานออกไป เนื่องจากราคาได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว และเพิ่มน้ำหนักหรือซื้อหุ้นค้าปลีกมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อมากนัก

-------------------------------------
ทั่วโลกผวาเงินเฟ้อคุกคาม "เอดีบี" ชี้เอเชีย เผชิญความเสี่ยงสูงสุด

สำนักข่าวต่างประเทศ ชี้ธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลก กำลังอยู่ในภาวะหวาดผวากับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในอัตราเร่ง มอร์แกนฯ เชื่อวิกฤตเงินเฟ้อยังพุ่งกระฉูดไปอีกหลายปี ส่งผลกระทบให้มูลค่าสินทรัพย์ทุกรูปแบบ ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่ "เอดีบี" ชี้ภาวะเศรษฐกิจเอเชีย กำลังเผลิญความเสี่ยงสูง และถูกเงินเฟ้อคุกคามรุนแรงขึ้น

หลายประเทศจะเผชิญภาวะลำบากมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการเงินซึ่งก็คือวิธีการที่จะผสมผสานอย่างเหมาะสมเพื่อที่จะควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นโดยไม่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวมากเกินไป" ทั้งนี้ หากประเทศในเอเชียมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อส่วนต่างที่เพิ่มมากขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐก็อาจจะดึงดูดเม็ดเงินที่มีความผันผวนและกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อด้านราคาสินทรัพย์ โดยมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดภาวะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง

-------------------------------------
การเมืองถล่มหุ้น ลดเป้าดัชนีสินปี927จุด

ทั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้ลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 51 มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อเดือนม.ค. โดยเป็นการปรับลดลงเหลือ 958 จุด จากเดิมที่คาด 1,030 จุด หลังกังวลเรื่องผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐ ปัญหาซับไพร์ม และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น
ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ลดลง 8.6% มาที่ 784.72 จุด และต่างชาติขายสุทธิ 3.37 หมื่นล้านบาท
ผลสำรวจสำนักวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ไทยและบริษัทต่างชาติรวม 21 แห่ง ครั้งที่ 3/2551 เมื่อ 12 มิ.ย.51 นักวิเคราะห์ได้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มองตรงกันว่าปัจจัยการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับประเด็นทางการเมืองที่ส่งผลกระทบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มที่คัดค้านรัฐบาล ซึ่งกังวลว่าจะยืดเยื้อและนำไปสู่ความรุนแรง 67% ,การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 52% และประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล 24%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ 52% มองว่าทิศทางสถานการณ์การเมืองในระยะ 6 เดือนข้างหน้าจะแย่ลง ขณะที่ 33% คาดว่าจะดีขึ้น และอีก 14% ประเมินว่าไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับปัจจัยที่นักวิเคราะห์ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในครึ่งหลังปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวก ได้แก่ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ,แนวโน้มรายได้ และกำลังซื้อของภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น จากการที่ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูง,เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะยาว และผลประกอบการบจ.ที่ขยายตัวดี

----------------------------------------------
ลุ้น!!... ซาอุ เพิ่มกำลังการผลิต 200,000 บาร์เรล ต่อวัน

จากการเขาพบกษัติย์ขังประเทศ ซาอุ เพื่อปรึกษาเรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งสูงตลอดตั้งแต่ต้นปี เสนอทางแก้ไขโดยเรียกร้องให้มีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 200,000 บาร์เรล ต่อวัน โดยจะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมในวันที่ 22/06/2008

----------------------------------------------
ช่วงนี้การเมืองยังคงรุนแรงไม่คลีคลายแม้ ฝ่ายพันธมิตรจะเริ่มหมดมุขหันมาใช้ กลยุทธดาวกระจายโดยล่าสุดได้ไปให้กำลังใจคณะ กกต 3 คน โห่ขับไล่ 2 คน โดยภาพรวมยังไม่มีความน่าวิตกแต่อย่างใด เรื่องที่มาใหม่คือ การเสนออภิปลายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน พลังจากร่วมเสนออภิปลายทั่วไปแต่นายกสมัครปฏิเสธกัลมาในวันนี้ โดย ปชป.จะยื่นเรื่องวันอังคารที่ 17/06/08 แม้จากที่วิเคราะห์แล้วคาดว่าพรรคฝ่ายค้านต้องการเพียงเผยแพร่ข้อมูลการทำงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลเท่านั้น ไม่น่าจะสามารถหักขาเก้าอี้ของรัฐมนตรีคนใดได้เลย แต่อาจทำให้การเมืองร้อนแรงขึ้นอีกระดับ

ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัย เนื่องจากราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้มีการขายทำกำไรจากนักลงทุนส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือการเพิ่มกำลังการผลิตของ ซาอุ ไป 300,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และน่าจะยังลดลงต่อไปอีกหาก วันที่ 22/06/2008 ในที่ประชุม ซาอุ ได้ข้อสรุปว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 200,00 บาร์เรลต่อวัน แต่เมื่อวิเคราะห์ในระยะกลางและยาวแล้ว ราคาก็ยังไม่น่าจะลงไปแตะ 120 ดอร์ลล่าต่อบาร์เรล ได้ในปีนี้แน่ๆ

ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง แต่ไม่หวือหวาเท่าไร ซึ่งผมมองว่าเป็นการดีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และเงินดอร์ลล่าแข็งค่าขึ้น(ดีต่อธุรกิจส่งออก) แบบเรื่อยๆแต่มั่นคง แต่ก็ไม่ควรอ่อนค่ามากเกินไป อยู่ในระดับ 32-33 บาทก็พอครับ

ข่าวเงินเฟ้อ ยังคงรบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้อยู่ที่ 7.6% แล้วหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ในไตรมาตร 3 และอัตราเงินเฟ้อขึ้นไปแตะเลข 2 หลักเมื่อไร นี้ผมว่านักลงทุนต่างประเทศขนเงินกลับประเทศแน่ๆ หรือไม่ก็ย้ายกลุ่มหุ้นไปอยู่พวก หุ้นค้าปลีก

ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มมีความคิดที่จะ ลองหาหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก มาไว้ใน Watch List ซักตัวสองตัว และลองติดตามข้อมูลเพื่อกระจายความเสี่ยงครับ


12 June 2008

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 11-06-08

ธปท.มั่นใจรับผลกระทบเงินดองอ่อนค่า

กระทรวงการคลังได้ติดตามปัญหาเงินเฟ้อและพยายามให้อัตราเร่งผ่อนคลายลง แต่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลต่อค่าครองชีพประชาชน ดังนั้น เงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.จะยังสูงอยู่ แต่หลังจากนั้นเชื่อว่าจะผ่อนคลายลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ต่อข้อถามที่ว่า เงินเฟ้อของไทยจะสูงถึงตัวเลข 2 หลักหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นกับปัจจัยราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันยังขยับอย่างรุนแรง เหมือนสัปดาห์ก่อนคือ ขึ้นวันเดียว 10-11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก็มีความเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อของไทยจะพุ่งถึง 2 หลัก แต่หากไม่มีอะไรรุนแรงเชื่อว่า สถานการณ์จะไม่น่าเป็นห่วงเกินไป

--------------------------
โปรตุเกส VS เช็ก จบเกม 3:1

เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากครับสำหรับผม อุตสาอดตาหลับ ขับตานอน เชียร์ เช๊ก เล่นดีมากกกกกในครี่งแรก พอครึ่งหลังเหมือนจาดี สักพักโดนนำ 2:1 กลายเป็นเล่นไม่ออกไปเลย แย่ๆๆๆๆๆๆ เชียร์อิตาลีก็โดนซะ 3:0 อย่างนี้ก็แย่สิคร้าบบบ พี่น้อง....

--------------------------
เอ้า... วิเคราะห์ข่าวสักหน่อย ช่วงนี้ไม่มีข่าวใหม่ๆครับ ก็เรื่องเดิมๆ การเมือง ราคาน้ำมัน ค่าเงิน และก็ ยูโร... อิอิ

วันนี้ช่วงเช้าพาแม่ไปหาหมอครับ หมอนัดติดตามผลการรักษากระดูก แม่ผมดีใจใหญ่เลยได้พบหมอ(แปลกไหมหล่ะ) ผลการตรวจออกมาดีมากครับหมอชมว่าแม่ผมทำกายภาพเก่ง กระดูกที่โดนรถชนหักก็ต่อติดดี 100% (เย้) แต่ของผมสิครับ ตอนรอพยาบาลเรียกแม่ผมดันมือป้อนไปเข้า trade ทางมือถือ เห็นราคา Hana ขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า คิดว่าเอาหล่ะวิ่งแน่ๆงานนี้ เลยรับไปซะ 2 ไม้ ที่ 19.10 เหอๆ พอปิดตลาดหล่นมาปิดที่ 18.8 ซะงั้น

ตอนที่ผมพิมพ์บทความอยู่นี้ Down ติดลบรุนแรงอีกแล้วครับ 178 จุด คาดว่าปิดตลาดไม่เกิน 150 จุด เหตุเพราะราคาน้ำมันขึ้นอีกแล้วครับ 3 ดอลล่าต่อบาร์เรล พรุ่งนี้ผมว่า Set แดงแน่ๆ และ Hana, Pttar เองก็น่าจะโดนไปด้วย

ขอให้โชคดีทุกคนนะครับ...

08 June 2008

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 08-06-08

ดาวโจนส์ร่วง400จุดหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกทำนิวไฮ






ดาวโจนส์ร่วงหนักเกือบ 400 จุด หรือลดลงกว่า 3% หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูดแตะ 139 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดรอบใหม่

เป็นการปรับตัวลดลงหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 139 ดอลลาร์/บาร์เรล วันเดียวราคาพุ่งขึ้นเกือบ 11 ดอลลาร์
ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าแนวโน้มในเดือนก.ค.มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวแตะที่ระดับ 150 ดอลลาร์/บาร์เรล














----------------------------------

บาทอ่อนค่าสุดรอบ3เดือน เลี้ยบสั่งธปท.ปล่อยค่าเงิน



ค่าบาทอ่อนต่อเนื่องแตะ 32.91 อ่อนสุดในรอบ 3 เดือน คาดวันนี้หลุด 33 นักค้าเงินชี้ปัจจัยหลักเป็นการรีบาวน์ของดอลลาร์และการเมืองที่ยังไม่นิ่ง รมว.คลังระบุเป็นไปตามภูมิภาค ไม่เข้าแทรกแซงทั้งเงินบาท-ทิศทางดอกเบี้ย ด้าน"ธาริษา" ยันการดูแลเงินบาทยึดแนวทางให้เป็นไปตามกลไกตลาดอยู่แล้ว



ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นการอ่อนค่าตามภูมิภาคที่สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐที่รีบาวน์ รวมถึงการที่นักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นและนำเงินทุนออกไปต่างประเทศแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 32.85-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาท นอกจากความไม่มั่นคงทางการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยที่ดอลลาร์สหรัฐเริ่มรีบาวน์ หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มดีขึ้น


------------------------------------

ธปท.เตือนธุรกิจรับภาวะดบ.ขาขึ้น



ธปท.ร่วม 4 หน่วยงานภาคเอกชน ถกสถานการณ์-ปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เผยภาคเอกชนระบุห่วงเงินเฟ้อพุ่ง ด้านธปท.แนะให้ภาคเอกชนปรับตัวรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นอาจกดดันให้ต้นทุนการผลิตสูง และเร่งการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป



=========================

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ 8/06/2008 ผมได้ลองสรุปประเด็นที่ควรติดตามข่าวสารเปี่ยวกับหุ้นได้ดังนี้

1. ศึกษาธุรกิจของหุ้นที่เราสนใจ และเรียบเรียงข้อมูลปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจ ,ปัจจัยส่งเสริมของธุรกิจ

2. วิเคาระห์ข่าวเด็น ข่าวดัง จากภาวะเศรฐกิจปัจจุบัน ว่า กระทบกับธุรกิจของหุ้นที่เราสนใจด้านใด เป็นการเพิ่มความเสี่ยง ลดความสี่ยง หรือส่งเสริมตัวธุรกิจ อย่างไร

3. จากสถานการณ์ภาวะเศรฐกิจนี้เป็นการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจอื่นๆ(หุ้นตัวอื่น) หรือไม่ เพื่อเพิ่มหุ้นคุณภาพปัจจัยพื้นฐานดีๆไว้ในกลุ่มหุ้นที่จับตามอง



โดยจากข้อมูลข่าวด้านบน ผมได้ลองวิเคราะห์ดูได้ดังนี้ครับ.. (หุ้น demo ที่จับตามอง Hana,Pttar)

จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อยๆมาตลอดสิ่งที่ผมค่อนข้างกลัวคือการที่ ธปท. จะเข้ามาแทรกแซงเนื่องจากเกรงเรื่องอัตราเงินเฟ้อ แต่ตอนนี้เราได้ทราบแน่ชัดแล้วว่าจะไม่มีการแทรกแซงใดๆเด็ดขาด และปล่อยไปเป็นตามกลไกตลาด ซึ่งเงื่อนไขที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง(ดอลล่าแข็งค่าขึ้น)ได้นั้นคือ ปริมาณการขายหุ้นออกของต่างชาติ ,ตัวเลขเศรฐกิจของสหรัฐฯ และอาจมีประเด็นอื่นๆอีกก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มต่อไป

ราคาน้ำมันทำ new high 139 ดอลล่าต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 10 กว่าภายในวันเดียว ซึ่งเกิดจากการประกาศกร้าวเรื่องอาวุธ นิวเคลียร์(จำชื่อประเทศไม่ได้) และการเก็งกำไรในน้ำมันยังคงอยู่ไปอีกนานจนอาจได้เห็น 150 ดอลล่าต่อบาร์เรลภายในเดือนกรกฏาคม

ส่วนสถานะการณ์การเมืองแน่นอนว่ายังไม่มีใครคาดการณ์ได้ของจาก 5+1 คือ 5 แกนนำพัธมิตร กับอีก 1 ผู้นำประเทศ เท่านั้น (ฮ่า) ซึ่งโดยรวมผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดสถานการณ์รุนแรงไปมากกว่านี้ สักพักตลาดหุ้นก็จะชินชากับข่าวม็อบไปเอง



ดังนั้นการการวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ได้ใจความสำคัญเกี่ยวกับหุ้น Hana และ Pttar มากมายทีเดียว โดยหุ้น Pttar เป็นธุรกิจโรงกลั้นส่วนหนึ่ง เมื่อแนวโน้มราคาน้ำมันเป็นไปลักษณะสูงขึ้นตลอด จึงจำเป็นต้องทำการลดพอตร์ลง(จากราคาขึ้นพอสมควรในวันศุกร์) ไปถือเงินสด และมุมมองในหุ้น Hana เริ่มค่อยๆดีขึ้นอย่างชัดเจนและมีนัย เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนค่าไปต่ำกว่า 31-32 ได้จะลดการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปได้เยอะมาก ร่วมถึงหากเศรฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จริงจะทำให้ยอดสั่งซื้อกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งทันรอบ Q3 ..... สรุป ลดพอตร์ Pttar จับตาตัวเลขเศรฐกิจของสหรัฐฯ และเสถียรภาพของค่าเงินบาทเพื่อหาจังหวะซื้อ Hana

06 June 2008

HANA แตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี

HANA ถือได้ว่าเวลานี้แตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี และดูเหมือนว่าจะเป็นหุ้นที่สวนทางกับทิศทางตลาด หุ้นแบบนี้ต้องมีอะไรลึกๆถึงจะสามารถสวนตลาดลงมาได้ง่ายแบบนี้ เรื่องลึกๆที่ว่าก็เป็นเรื่องของผลประกอบการ ราคาทองขึ้นมากไปหรือเปล่า (เพราะสมัยก่อนพวกอุปกรณ์ IC มันใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบกันเยอะ แต่หลังๆก็หันไปใช้อย่างอื่นแทนกันไปหมดแล้ว ไม่น่าจะมีผลจากราคาทองคำมากนัก) รายรับ รายจ่าย ผลกระทบทางธุรกิจเป็นยังไง ??? ถึงทำให้มีใครบางคนยอมขายสวนทางทิศทางตลาดลงมาได้ ผมคงไม่ไปสนใจเรื่องพวกนั้น เพราะมันก็เป็นเพียงแค่ความเห็นทางความคิด แต่นี่เรากำลังมานั่งดูการกระทำ เพราะคนที่ทำ ผมก็ว่ามันก็ต้องคิดมาก่อนที่จะทำเหมือนกันนั่นแหละ แล้วทำไมมันคิดไม่เหมือนคนที่ยังถือหุ้นอยู่หละ ??? น่าคิดนะ !!!

ผมว่ากลางๆเดือนค่อยมาดูกันใหม่อีกทีดีกว่านะ Wait & See !!!!

HANA คาดปีนี้รายได้สกุลดอลลาร์สูงกว่าปีก่อน ความต้องการ IC ขยายตัว

HANA คาดปีนี้รายได้สกุลดอลลาร์สูงกว่าปีก่อน ความต้องการ IC ขยายตัว
บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) มองเชิงบวกต่อการเติบโตของรายได้สกุลดอลลาร์ในปีนี้ดีขึ้นจากปีก่อน หลังยังเห็นความต้องการแผงวงจรไฟฟ้า(IC)และอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างต่อเนื่อง นายริชาร์ด ฮัน ประธานบริหาร HANA มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นจากต้นเดือนมี.ค.ที่คาดว่าปีนี้การดำเนินธุรกิจจะยากกว่าปีก่อน จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวที่อาจกระทบต่อความต้องการสินค้า ประกอบกับค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นด้วย "ไตรมาสแรกเรามีรายได้เติบโต 13% แล้ว ซึ่งไตรมาสแรกมีแนวโน้มว่าจะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดของปี ดังนั้น หวังว่าจากนี้เราจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"นายฮัน กล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ เขากล่าวอีกว่า"เรามีมุมมองเชิงบวกของทั้งปีดีขึ้น ว่าเราน่าจะเติบโตได้จากปีก่อน"
HANA เป็นผู้ประกอบและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจ IC รายใหญ่ และธุรกิจ PCBA และชิ้นส่วนอื่นๆที่ใช้ในธุรกิจสื่อสาร คอมพิวเตอร์ และยานยนต์ โดยมีโรงงานในไทย สหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อปีที่แล้วบริษัทมีกำไรสุทธิ 2.45 พันล้านบาท และมีรายได้รวม 1.6 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นยอดขาย 1.56 หมื่นล้านบาท คิดเป็นยอดขายในรูปสกุลดอลลาร์ 452.3 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ในไตรมาส 1/51 สามารถทำกำไรสุทธิได้ 447.64 ล้านบาทและมียอดขาย 3.68 พันล้านบาท คิดเป็นยอดขายในรูปสกุลดอลลาร์ที่ 113 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนมี.ค. HANA คาดว่าปีนี้จะมีรายได้รวมเติบโตราว 15% จากปีก่อน นายฮันกล่าวอีกว่า แม้ลูกค้าของบริษัทจะเป็นบริษัทอเมริกัน แต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจไปทั่วโลก ทำให้มีความคลายความกังวล แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว บริษัทก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากความต้องการสินค้าที่มี IC และไมโครอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนประกอบเติบโตขึ้นทั้งอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เติบโตในจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม บริษัทในฐานะผู้ส่งออก ก็ยังมีความกังวลเรื่องการแข็งขึ้นของค่าเงินบาท ที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ในรูปสกุลเงินบาทด้วย นายฮันกล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนต่อขยายที่โรงงานในอยุธยา เพื่อขยายกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าจะเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 3/51 สอดคล้องกับการประมาณการว่าความต้องการสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้น

มุมมองหุ้นไทยสไตล์ Richerstock 05-06-08

ผบช.น.เผยเตรียมออกหมายเรียก6พันธมิตรฯรับทราบข้อหา

พล.ต.ท.อัศวิน เผยสั่งการสน.นางเลิ้ง สน.ดุสิต ที่รับร้องทุกข์รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายเรียก6แกนนำพันธมิตรฯ รับทราบข้อหากีดขวางการจราจร ย้ำเรียก3ครั้งไม่มาออกหมายจับ
พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) กล่าวถึงกรณีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักปิดถนนราชดำเนินนอกเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์นานกว่า 12วัน สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายส่งผลให้การจราจรติดขัดทุกเส้นทางรอบบริเวณเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และ สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดีกับ 6 แกนนำข้อหา ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ข้อหากีดขวางการจราจร
โดยได้สั่งการไปยังพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีให้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ครบถ้วนสมบูรณ์ หากพบมีหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดชัดไม่ว่าจะเป็นข้อหาใดๆ ตามที่มีการแจ้งความไว้ให้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้นั้นมาสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหาในทันที

------------------------------------------
ราคาน้ำมันจะถ่วง SET

ภาวะตลาดวานนี้ SET พยายามแกว่งตัวขึ้นในช่วงเช้าของชั่วโมงการซื้อขาย จากคาดการณ์การซื้อกลับของ นักลงทุนต่างชาติ แต่ไม่ผ่าน 815 จุด โดยมีแรงขายนำในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.36%) กดดัชนีลงมาปิดบวกเพียงแค่ 2.06 จุด ที่ 808.92 จุด นักลงทุนต่างชาติยังขายเพียงรายเดียวอีกกว่า 3 พันล้านบาท

ภาวะตลาดวันนี้ ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวลงในกรอบ 800 – 820 จุด แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ กอปรกับปัจจัยเสี่ยงการเมืองที่ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางบวก จนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ น่าจะยังส่งผลให้แรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติมีต่อเนื่อง และกดดันให้ SET ยังเคลื่อนไหวในลักษณะอ่อนตัวลง การอ่อนตัวของราคาน้ำมันยังคงถ่วงหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคในประเทศน่าจะยังสามารถประคองดัชนีไว้ได้ในระดับหนึ่ง จึงอาจซื้อเก็งกำไรระยะสั้นที่บริเวณแนวรับ ในหุ้นที่คาดการณ์กำไรยังคงแข็งแกร่ง อาทิ ธนาคาร (KBANK, SCB) เหล็ก (TSTH, GSTEEL) ค้าปลีก (BIGC, CPALL)

ปัจจัยที่มีผลกระทบการลงทุน

+ ดอลลาร์ฟื้น กดราคาราคาน้ำมันดิบดิ่ง ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ร่วงอีก 1.99 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 122.18 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หลังดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดีเกินคาด ทั้งตัวเลขภาคบริการ และการจ้างงานภาคเอกชน ขณะที่อุปสงค์ในแถบเอเชียอาจอ่อนตัว หลังหลายประเทศ อาทิ อินเดีย และมาเลเซีย ยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมัน ดังนั้น ราคาน้ำมันอาจอ่อนตัวลงในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT และ PTTEP ได้

- ความกังวลสินเชื่อยังคงตามหลอนหลอน ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวลงต่อ แต่ลดช่วงลบเหลือเพียง 12.37 จุด ปิดที่ 12,390.48 จุด แม้จะเริ่มมีแรงซื้อกลับในกลุ่มทคโนโลยี หลังตัวเลขเศรษฐกิจดีเกินคาด แต่ก็ยังถูกถ่วงด้วยหุ้นในกลุ่มการเงิน เมื่อมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส มีแนวโน้มปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัทประกันหุ้นกู้ อย่างบริษัทเอ็มบีไอเอ อิงค์ และบริษัทแอมแบค ไฟแนนเชียล กรุ๊ป เพราะกังวลผลขาดทุนที่เกี่ยวกับการจำนอง และแนวโน้มธุรกิจใหม่ที่เป็นไปอย่างจำกัด นอกจากนี้ ความกังวลเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า หลังประธานเฟดแสดงความวิตกเกี่ยวกับสัญญาณการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ยังถ่วงให้ดัชนีอ่อนตัวในช่วงท้ายตลาด

----------------------------------
สถานะการณ์ ม็อบ รุนแรง/คลีคลาย ????

จาก ทางตำรวจนำโดย พล.ต.ท.อัศวิน ได้เริ่มมีความเคลื่อนไหว การออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มพันธมิตรเข้ารับข้อกล่าวหาจากการแจ้งความของประชาชน ร่วมถึงผู้ปกครองของโรงเรียนระแวกที่ชุมนุม อาจทำให้กลุ่มพันธมิตรเริ่มสั่นคลอนกำลังได้ จะเห็นได้ชัดจากจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ลดจำนวนลงมาก จนสุริยะใสต้องออกแผนดาวกระจาย เพื่อหากิจกรรมทำ ?!?

อย่างนี้อาจได้เห็นการเลกชุมนุมได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ได้นะครับ อิอิ

เรื่องการลงทุนช่วงนี้ ผมจับตาดูค่าเงินบาท เป็นหลักเพราะมีผลกับกำไรของ HANA พอสมควร หากสังเกตดีช่วงนี้เริ่มมีผู้รู้ทั้งนอกจอ ในจอเริ่มพูดถึงกลุ่มส่งออกที่จะได้อานิสงค์จากค่าเงินบาทเรื่อยๆแล้วนะครับ .... :)

05 June 2008

ข้อมูลพื้นฐาน HANA

HANA

ธุรกิจของบริษัท
ประกอบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนย่อย และผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปขนาดเล็ก โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ PCBA , IC , CAPTIVE LINES และ MICRODISPLAY

1. ผลิตภัณฑ์ IC – มีโรงงานที่จังหวัดอยุธยาและโรงงานเจียซิงเป็นฐานการผลิต โดยผลิตภัณฑ์ IC ใช้ในอุตสาหกรรมโทรคม 35% ใช้ในภาคอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ 13% และที่เหลือใช้ในอุตสาหกรรม ผลิตสินค้าอุปโภค(customer product) 52% เช่น optical mouse , DC-DC convertor , LGA , VSOP , SOT5x3
2. ผลิตภัณฑ์ประเภท CAPTIVE LINES – ใช้ในอุปกรณ์ทางแสง เช่น LED และรวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลผ่าน Fiber Optic
3. ผลิตภัณฑ์ประเภทแผ่นวงจรพิมพ์ (PCBA) - การประกอบ PCBA เป็นการประกอบ IC และ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงบน PCB โดยอาศัยเทคโนโลยี SMD (Surface Mount Device) และเครื่องจักร Pick and Place ซึ่งมีความแม่นยำสูง เช่น Chip on Board , Wireless Radio Freq. เป็นต้น
4. ผลิตภัณฑ์ประเภท MICRODISPLAY - ผลิตภัณฑ์ LCoS (Liquid Crystal on Silicon) ซึ่งใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบจอภาพโทรทัศน์ขนาดใหญ่ จอภาพคอมพิวเตอร์ , RFID

กลยุทธการตลาด - ให้แก่ลูกค้าโดยตรง โดยประมาณร้อยละ 30 ของยอดขายส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 10 ของยอดขายส่งออกไปยัง ยุโรป และ ร้อยละ 60 ของยอดขายส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเชีย มากกว่าร้อยละ 50 ของลูกค้าที่มีสํานักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียง เช่น Fairchild Semiconductor, Avago Technologies, Texas Instrument, International Rectifier, Assa Abloy เป็นต้น

ภาวะการณ์แข่งขัน - ในประเทศไทย มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ทำธุรกิจเช่นเดียวกับฮานา เช่น Benchmark, Celestica, SVI, Calcomp ส่วนคู่แข่งในตลาดโลกของฮานา ได้แก่ Flextronics, Solectron, Plexus, Pemstar, MPI, Unisem, Amkor, ASE, ASAT โดยบริษัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งคือ มุ่งเน้นประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ประเภท Microelectronics ขณะที่บริษัทคู่แข่งรายอื่นเน้นการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป (Box build assembly) ในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิต ในตอนนี้ฮานาเป็น 1 ใน 50 บริษัทรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก และการเปิดโรงงานใหม่ที่จีนทำให้ได้เปรียบในเรื่องต้นทุนแรงงานที่ต่ำ

ภาวะอุตสาหกรรม - ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในปี 2550 เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยอดขายที่ทำสถิติได้สูงขึ้นเนื่องจากความต้องการในตัวสินค้าที่สูง อย่างเช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้อุปโภคอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบยังแข็งแกร่งในปี 2550 โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 40 เติบโตขึ้นร้อยละ 13.8 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 12.2 ในปี 2551 และการสินค้าอุปโภคในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อย่างเครื่องเล่น MP3 จอภาพ LCD และกล้องถ่ายรูปดิจิตอลที่มียอดขายเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 20 ซึ่งส่งผลดีต่อยอดขายเซมิคอนดักเตอร์

วัตถุดิบที่สำคัญ – หลักๆ คือ แผ่น WAFER และอื่นๆ คือ ปิโตรเคมี , ทองคำ ซึ่งทั้งหมดเป็นการนำเข้า 100% ทั้งนี้มีการป้องกันปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบโดยมีการหาแหล่งผู้จำหน่ายสำรองหลายๆแห่ง และสร้างสัมพันธภาพระยะยาวกับผู้จำหน่าย

การจ่ายปันผล – ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 30

ปัจจัยเสี่ยง
1. ความเสี่ยงทางธุรกิจ - ฮานามีปัจจัยความเสี่ยงที่ความสำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญในกลุ่มฐานลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งอาจเป็นผลให้ยอดสั่งซื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2. ความเสี่ยงทางการผลิต – คือ เครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีอยู่ล้าสมัยได้ แต่เทคโนโลยีการผลิต PCBA และการประกอบ IC ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็วมากนัก จึงไม่น่าเป็นห่วง
3. ความเสี่ยงทางการเงิน - เนื่องด้วยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดขายกว่าร้อยละ 95 อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่วัตถุดิบกว่าร้อยละ 95 เป็นวัตถุดิบที่นำเข้าทั้งทางตรงและทางอ้อมในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นเดียวกัน ดังนั้นต้นทุนหลักของบริษัทฯ และบริษัทย่อย จึงได้รับ การป้องกันความเสี่ยงโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เงินเดือนและค่าใช้จ่ายอื่นๆถูกจ่ายในรูปสกุลเงินบาทและเงินหยวน ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ และการแข็งค่าของเงินหยวนต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของกลุ่มฮานา ดังนั้นกลุ่มบริษัทฯได้ดำเนินการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และทำการต่อสัญญาทุกๆ 3-6 เดือน
4. ความเสี่ยงจากลูกหนี้การค้า - เนื่องจากยอดขายกว่าร้อยละ 95 ของบริษัทฯและบริษัทย่อยเป็นการขายโดยที่ลูกค้าชำระเงินโดยตรงให้แก่บริษัทฯ โดยไม่มีหลักประกัน บริษัทฯจึงอาจมีความเสี่ยงจากลูกหนี้การค้าได้ แต่ในอดีตที่ผ่านมา บริษัทฯไม่เคยประสพปัญหาหนี้สูญอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ จะเป็นบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงิน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

S.W.O.T. ANALYSIS

Strength (จุดแข็ง)
1. เป็นธุรกิจครบวงจรบนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
2. ต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่ำ
3. มุ่งเน้นประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ประเภท Microelectronics แตกต่างจากคู่แข่ง
4. ฐานะการเงิน และกระแสเงินสด แข็งแกร่งมาก
5. ลูกค้าเป็นบริษัทระดับโลก มีความมั่นคงทางการเงินสูง
6. มีฐานลูกค้ากระจายอยู่หลายประเทศ ทั้งอเมริกา ,ยุโรป และเอเซีย

Weakness (จุดอ่อน)
1. วัตถุดิบต้องนำเข้า 100% ทำให้ไม่สามารถควบคุมราคา และปริมาณได้
2. ความเสี่ยงต่อปัญหาค่าเงินบาท เนื่องจากรายได้เป็นสกุลเงิน สหรัฐอเมริกามากถึง 95%
3. ความเสี่ยงจากลูกหนี้การค้า เนื่องจากไม่มีการประกันการชำระเงิน

Opportunity (โอกาสจากปัจจัยภายนอก)
1. ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นที่สูงในตัวสินค้า อย่างเช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่น MP3 จอภาพ LCD และกล้องถ่ายรูปดิจิตอล
2. ยอดสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหม่

Threat (ความเสียเปรียบจากปัจจัยภายนอก)
1. เศรษฐกิจในประเทศหดตัว และปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา อาจมีผลต่อยอดสั่งซื้อ
2. การเมืองในประเทศยังไม่นิ่ง
3. บริษัทมีข้อพิพาดอยู่ 1 คดีซึ่งหากแพ้จะต้องเสียค่าปรับ 1 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา



วิเคราะห์แบบหยาบๆ
1. ROE มีค่าสูง
2. ROA มีค่าสูง
3. กำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. หนี้สินเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ และส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำ
5. เป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงจากยอดสั่งซื้อได้ดี
6. ไม่มีปัญหาด้านแรงงาน และต้นทุนแรงงานต่ำ
7. กำไรสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปี 50 เพิ่มขึ้น 23%

Ex 1. ส่วนของผู้ถือหุ้น=11,290.85 ล้านบาท, ROE = 23.15% , ทุนจดทะเบียน = 830.41 ล้านหุ้น ,
PE เฉลี่ย 10 ปี = 8 , Growth เฉลี่ย 10 ปี = 9%
Sol.^ ส่วนของผู้ถือหุ้น ปี 51 = 11,290.85 + (9/100 x 11,290.85) = 12,307.02 ล้านบาท
กำไรสุทธิ ปี 51 = 23.15 /100 x 12,307.02 = 2849.07 ล้านบาท
กำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 51 = 2849.07/ 830.41 = 3.4309 ล้านบาท
ราคาที่แท้จริง ปี 51 = 3.4309 x 8 = 27.447 บาทต่อหุ้น --------------------- #
ซื้อที่ MOS 20% = 27.447 – (20/100 x 27.447) = 21.9 บาทต่อหุ้น --------------------- #

04 June 2008

กำไรไตรมาสแรกออกมาตกต่ำตามคาด แนวโน้มยังไม่สดใส

กำไรไตรมาสแรกออกมาตกต่ำตามคาด แนวโน้มยังไม่สดใส

กำไรไตรมาสแรกลดลง 67% yoy

บริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 ออกมาแย่ตามที่เราคาดไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 1,488 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.50 บาท ลดลง 67% yoy หากไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,210 ล้านบาทและขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงโดยการทำสัญญาแลกเปลี่ยนส่วนต่างค่าการกลั่นและวัตถุดิบสุทธิ 309 ล้านบาท บริษัทจะมีกำไรปกติเพียง 587 ล้านบาท หรือ 0.20 บาท/หุ้น ลดลง 85% yoy แย่กว่าที่เราคาดไว้มาก (กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าที่คาดมาช่วยกำไรสุทธิไว้) ปัจจัยหลักที่กดดันผลกำไรของบริษัทให้ลดลงในไตรมาสนี้มาจากผลขาดทุนในธุรกิจอะโรเมติกส์ตาม product-to-feed-margin (P2F) ที่ลดลงมาก เนื่องจากราคาวัตถุดิบคอนเดนเสทมีราคาสูงมากในไตรมาสที่ผ่านมา แต่ราคาผลิตภัณฑ์ค่อนข้างทรงตัว ในขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นยังสามารถทำกำไรได้ตามปกติและมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวนหนึ่งด้วย ไตรมาสนี้บริษัทต้องจ่ายภาษีในอัตรา 30% จากการที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ไม่มีกำไร (ปกติธุรกิจปิโตรเคมีได้รับการส่งเสริมการลงทุนแต่ธุรกิจโรงกลั่นไม่ได้รับการส่งเสริมทำให้ต้องเสียภาษีเต็มจำนวน 30%)

แนวโน้มไตรมาส 2 และครึ่งปีหลังยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน

เราคาดว่าผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 2 จะดีขึ้นตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นและอาจมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันที่สูงขึ้นด้วยตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ทำจุดสูงสุดที่ 123 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่ยืนสูงกลับส่งผลลบต่อธุรกิจอะโรเมติกส์ เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงทำให้วัตถุดิบคอนเดนเสทมีราคาสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ product-to-feed-margin ของธุรกิจอะโรเมติกส์ยังคงแย่อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ spread margin ของผลิตภัณฑ์เบนซินเทียบกับแนฟทา ซึ่งตกต่ำลงมากเหลือเพียง 150 เหรียญ/ตัน จากระดับปกติ 300-400 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจอะโรเมติกส์ขาดทุน แม้ว่า spread margin ของพาราไซลีนจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 300 เหรียญ/ตัน จากระดับปกติ 400-500 เหรียญ/ตัน แต่ก็ยังมีกำไรได้ เพียงแต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลขาดทุนในผลิตภัณฑ์เบนซินได้หมด

แม้ราคาปรับลดลงมา แต่ยังไม่น่าลงทุน แนะนำ ขาย

หลังจากที่เราแนะนำ ขาย ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนจากคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสแรกที่อ่อนตัว ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมา 3.4% แต่ยังไม่ใช่ระดับราคาที่ควรกลับเข้าไปลงทุน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 9.3 เท่าและมีราคาสูงกว่าราคาเป้าหมายของเราที่ 34.50 บาท อ้างอิง PER เป้าหมายที่ 9 เท่า อยู่ 3% จากผลประกอบการไตรมาสแรกคิดเป็นเพียง 13% ของประมาณการผลกำไรสุทธิทั้งปีของเราที่ 11,351 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.83 บาท ลดลง 37% yoy ดังนั้นเราอาจมีแนวโน้มที่จะปรับลดประมาณการผลกำไรและราคาที่เหมาะสมลงอีกหากผลกำไรในไตรมาส 2 โดยเฉพาะธุรกิจอะโรเมติกส์ยังไม่ดีขึ้น จากแนวโน้มผลประกอบการที่ยังจะอ่อนแอต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้เรายังคงคำแนะนำ ขาย สำหรับ PTTAR

หุ้นถูกเทขายมากเกินไป / สัญญาณฟื้นตัวเด่นชัดในเดือน พค.

หุ้นถูกเทขายมากเกินไป / สัญญาณฟื้นตัวเด่นชัดในเดือน พค.

ราคาหุ้นปรับตัวลงถึงเกือบ 20% ตั้งแต่ต้นปีมา / กำไรอ่อนแอในไตรมาส 1/51

ราคาหุ้น HANA ได้ปรับตัวลงแล้วเกือบ 20% ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาจนสร้างสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยกดดันราคาหุ้นหลักได้แก่ 1) ความกังวลถึงผลกระทบลบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากกว่าครึ่งของฐานลูกค้า HANA นั้นเป็นบริษัทของสหรัฐฯ และ 2) แนวโน้มการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาท ทั้งนี้ HANA ได้รายงานผลกำไรปกติในระดับชะลอตัวที่ 352 ล้านบาทในไตรมาส 1/51 เนื่องจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลง 71 ล้านบาทจากการแข็งค่าของเงินบาท และลูกค้าบางรายชะลอคำสั่งซื้อเนื่องจากความความกังวลถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงตัดสินใจระบายสินค้าคงคลังออกไปก่อน

แต่แนวโน้มขณะนี้กลับสดใสกว่าที่คิด

แม้ความต้องการสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ของตลาดสหรัฐฯ อาจชะลอตัวแต่ถูกชดเชยโดยความต้องการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอื่น โดยเฉพาะ จีน และเอเชีย ผู้บริหารของ HANA กล่าวในที่ประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าลูกค้าบางรายที่ได้ชะลอคำสั่งซื้อเมื่อต้นปีนั้น ขณะนี้ได้กลับเร่งสั่งซื้อสินค้าเนื่องจากธุรกิจยังคงดีอยู่ไม่ได้ชะลอตัวอย่างที่กังวล ดังนั้น กระแสคำสั่งซื้อกลับดีขึ้นมากในขณะนี้ โดยอัตราการผลิตชิ้นส่วน IC ในขณะนี้ฟื้นตัวจนเกือบถึงสถิติสูงสุดแล้ว ในขณะที่แนวโน้มธุรกิจ PCBA ก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน

ค่าเงินบาทต่อ US$ อ่อนค่าลงกว่า 3% แล้วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทต่อ US$ ได้อ่อนค่าลงแล้ว 3% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา อันจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่ออัตรากำไรของบริษัทและอาจทำให้บริษัทปรับมูลค่าสินค้าคงคลังขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เราคงสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยน 31.5 บาท/US$ สำหรับครึ่งหลังของปี

ปรับเพิ่มการคาดกำไรปกติปีนี้ 8% เป็น 1.89 พันล้านบาท

ด้วยแนวโน้มที่สดใสขึ้นของธุรกิจ IC เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานยอดขาย IC ปีนี้ 9% เป็น 169 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว10% นอกจากนี้ เราคาดว่ารายได้จาก PCBA จะเติบโต 15% จากปีที่แล้วเป็น 264 ล้านเหรียญฯ ดังนั้น เราจึงปรับการคาดการณ์กำไรปกติปีนี้ขึ้น 8% เป็น 1.89 พันล้านบาทหรือ 2.27 บาท/หุ้นหรือสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย

แนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย 22.75 บาท/หุ้น

เรามองว่าหุ้น HANA ถูกเทขายมากเกินไปในขณะที่บริษัทยังคงมีความแข็งแกร่งด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ฐานะการเงินแข็งแกร่งด้วยเงินสด 3.7 พันล้านบาท (หรือ 4.5 บาท/หุ้น) และปลอดหนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/51 รวมถึงอัตราเงินปันผลตอบแทนถึง 7.7% ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ โดยได้ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 21.1 บาทเป็น 22.75 บาท อ้างอิง P/E 10 เท่า

Earnings summary


2005
2006
2007
2008F
2009F

Sales
12,136
15,005
15,636
16,131
17,891

EBITDA (Btmn)
2,705
2,982
2,831
2,940
3,300

Normalised Profit
2,067
2,116
1,877
1,888
2,176

Net Profit
2,062
2,216
2,449
1,888
2,176

Normalised EPS (Bt)
2.58
2.59
2.27
2.27
2.62

EPS (Bt)
2.59
2.74
2.98
2.27
2.62

Normalised PER (x)
6.54
6.51
7.45
7.43
6.45

PER (x)
6.6
6.2
5.7
7.4
6.5

EV/EBITDA (x)
5.7
5.7
5.6
3.5
2.8

CF/share (Bt)
3.0
2.4
3.3
3.2
3.6

BV per shr (Bt)
11.3
12.1
13.6
14.6
15.9

Price/BV (x)
2.1
1.9
1.7
1.2
1.1

DPS (Bt)
1.40
1.50
1.30
1.30
1.40

Dividend yield (%)
8.3%
8.9%
7.7%
7.7%
8.3%

Gearing
net cash
net cash
net cash
net cash
net cash

ROA (%)
18.2%
18.7%
18.8%
13.3%
14.2%

ROE (%)
24.3%
23.4%
23.1%
16.1%
17.2%


Source : Company reports and KELIVE Research estimates

ธุรกิจ IC มีอัตราการผลิตฟื้นตัวแข็งแกร่งในเดือน พค.

อัตราการผลิตชิ้นส่วน IC ของโรงงานในอยุธยาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากประมาณ 7 ล้านชิ้น/วันในไตรมาส 1/51 เป็น 8.5 ล้านชิ้น/วันในเดือน พ.ค. ซึ่งมากกว่าอัตราเฉลี่ยประมาณ 7.3 ล้านชิ้นต่อวันในไตรมาส 2 ปีที่แล้วค่อนข้างมาก อีกทั้งเป็นระดับใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในไตรมาส 3/50 ด้วย หลังรวมการผลิตใน JiaXing ประเทศจีนแล้ว อัตราการผลิต IC รวมอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านชิ้น/วัน และผู้บริหารของบริษัทคาดว่าการเติบโตของธุรกิจ IC นี้ยังมีแนวโน้มต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3/51 อันเป็นช่วง high season ด้วย

IC load factor (mn units/day)



Source: Company reports

ธุรกิจ PCBA มีการเติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจ PCBA ของ HANA มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาตลอดด้วยผลประโยชน์จากแนวโน้มการ outsourcing ของตลาดโลก ทั้งนี้ สินค้าหลักของ HANA ได้แก่ touchpad สำหรับคอมพิวเตอร์ notebook , อุปกรณ์รับส่งสัญญาณความเร็วสูงที่ใช้ใน base station ของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2 จี และ 3 จี, อุปกรณ์ GPS และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยฟัง (hearing aids) เป็นต้น

HANA มีรายได้รายไตรมาสในสกุล US$ ของธุรกิจ PCBA เติบโตเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในระดับเกินกว่า 17% ต่อเนื่องมาตลอดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ไตรมาส 2/47-1/51)

PCBA sales (US$,mn) and YoY growth (%)



Source: Company reports